กรรมของนักเลี้ยงนก
สัตว์เลี้ยงใครเป็นผู้กำหนดว่าสัตว์ประเภทนั้น ประเภทนี้เป็นสัตว์ที่มนุษย์สามารถนำมาเป็นสัตว์เลี้ยงได้ ผมเองก็ยังไม่สามารถบอกออกมาได้เหมือนกันว่าใครเป็นผู้กำหนดไว้แบบนี้ ตอนนี้ยังมีสัตว์อีกประเภทหนึ่งที่มนุษย์ที่มีความคิดอันประเสริฐกว่าสัตว์อื่นบนโลกนิยมจับมาเลี้ยงกันอย่างมาก บางคนชอบเพราะมันมีสีสันสวยงาม บางคนชอบเพราะมันมีเสียงที่ไพเราะจนต้องจัดการประกวดประชันขึ้น สัตว์ชนิดนั้นมีชื่อเรียกว่า “นก”
เมื่อพูดถึงนก น้อยคนที่ไม่รู้จัก แต่บางคนกลับไปนึกถึงชื่อ “น้องนก” นกที่ว่านี้ ผมไม่ได้หมายถึงคน แต่หมายถึงสัตว์ที่มีปีก บางชนิดบินได้ บางชนิดบินไม่สามารถบินได้ก็แล้วแต่ประเภทหรือชนิด มีให้เห็นโดยทั่วไปไม่ว่าจะเป็นชนิดที่มีสีสันสวยงาม หรือชนิดที่มีเสียงไพเราะจนเป็นที่ชื่นชอบของมนุษย์ จนในบางครั้งมีคนเปรียบออกมาว่า อยากมีอิสรเสรีเหมือนดังนก แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่นำนกมาเลี้ยงให้อยู่แต่ภายในกรงขัง ให้ขาดซึ่งอิสรภาพของการบินไป ผมมีเหตุการณ์ที่จะเล่าให้ฟัง เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับกรรมของการกักขังนก เมื่อต้นปี 2556 ผมได้มีโอกาสไปเดินตลาดนัดตอนเย็นๆ จะมีสิ่งที่ให้เราสามารถเลือกซื้อเลือกหาได้ตามต้องการ และตามตลาดนัดนั้นมีให้พบอยู่บ่อยๆ ก็คือวัตถุมงคล ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบวัตถุมงคลได้ไปเดินในตลาดแห่งนี้เช่นกัน ผมเดินหยิบวัตถุมงคลชิ้นนั้นชิ้นนี้ที พลันสายตาไปปะทะกับอะไรบางอย่างเป็นวัตถุสีดำ ลักษณะเหมือนตุ๊กตาดินปั้น สูงประมาณเกือบ 2 นิ้ว ความโตขนาดด้ามปากกาอยู่ในลักษณะท่ายืน ด้วยความสงสัยจึงเอื้อมมือไปหยิบวัตถุนั้นขึ้นมาพิจารณา พลันมีพลังอะไรบางอย่างเข้ามาปะทะทำให้ขนแขนลุกขึ้นมา ผมสะดุ้งนิดหนึ่ง ผมนึกในใจ อืม แปลกดี จึงสอบถามราคากับคนขาย ต่อรองราคากันเป็นที่น่าพอใจแล้ว นำติดตัวผมกลับมาบ้านด้วย ระหว่างเดินทางกลับมายังบ้าน ผมรู้สึกมีใครเดินตามมาตลอด แต่ก็ไม่สนใจอะไร เพราะเป็นเรื่องปกติของผมอยู่แล้วที่มีบุคคลจากโลกทิพย์ติดตาม แต่ให้แปลกใจตรงที่รู้สึกเย็นหลัง เหมือนมีลมพัดมาปะทะหลังเบาๆ อยู่เป็นระยะ เมื่อมาถึงบ้านด้วยความสงสัยจึงกำหนดจิต ได้พบกับชายร่างใหญ่กำยำ แต่งกายคล้ายชาวบ้านสมัยโบราณที่เราดูหนังย้อนยุค ถอดเสื้อ กล้ามเป็นมัดผิวคล้ำ ดวงตาแดงกล่ำ ผมจึงทักออกไป (การสนทนา ผมขอใช้ชื่อเขาว่านก เพราะเขาไม่มีชื่อ)
ผม : สวัสดีครับ
นก : สวัสดี
ผม : ท่านใช่ไหมที่เดินตามผมมาตลอด
นก : ใช่ ข้าเอง
ผม : ท่านมากับวัตถุนี้ใช่ไหม
นก : ใช่ ข้ามากับวัตถุชิ้นนี้
ผม : แล้วท่านมาอยู่ในวัตถุชิ้นนี้ได้อย่างไร
นก : ข้าเป็นคนทางชายแดนเขมร ทำมาหากินด้วยการทำไร่ทำนาหาของป่าทางจังหวัดสุรินทร์ อายุ 60 ปี ก็ตายด้วยไข้ป่า
ผม : ตายแล้ว ไปไหนต่อ
นก : ตายแล้วก็ยังวนเวียนไม่ได้ไปไหน
ผม : ตายจากคนนานหรือยัง
นก : ร่วมเกือบ 100 ปีแล้วกระมัง
ผม : หลังจากตายแล้วไม่มีเจ้าหน้าที่จากยมโลกมาพาตัวไปยังแดนนรกหรือ
นก : ไม่เห็นมีใครมาเลย
ผม : ถ้าอย่างนั้นก็เป็นสัมภเวสีเร่ร่อนตั้งเป็น 100 ปี
นก : ใช่ ข้าต้องทนหิว ต้องหาเศษอาหารเพื่อประทังความหิว บางทีก็ต้องไปแย่งพวกเปรตมันกินศพคน
ผม : แล้วเป็นแบบนั้นนานไหม
นก : เกือบ 50 – 60 ปีน่าจะได้
ผม : อ้อ นี้คงเป็นการชดใช้กรรมของท่านล่ะสิ แล้วตอนมีชีวิตไม่ได้ทำบุญบ้างหรือ
นก : ก็ทำ ทำกับพระธุดงค์บ้าง
ผม : แล้วทำไมไม่ภาวนาละ จะได้ขึ้นสวรรค์
นก : ทำไม่เป็น ไม่มีใครสอน
ผม : แล้วไปอย่างไร ถึงมาอยู่ในรูปปั้นนี้ได้
นก : ข้าเดินอยู่ดีๆ ก็มีพลังอะไรไม่รู้มาดึงให้ข้ามา
ผม : มากันหลายรายไหม
นก : ก็มีหลายรายอยู่
ผม : เขาเรียกให้มาอยู่ในรูปปั้นนี้นะรึ !
นก : ข้าก็ถูกดึงให้มาอยู่ในนี้เลย
ผม : แล้วมาอยู่มีรูปร่างอย่างนี้เลยหรือเปล่า
นก : ก็มีสภาพและรูปร่างอย่างนี้เลย
ผม : อยู่อย่างนี้นานหรือยัง
นก : เกือบ 30 ปีแล้วเห็นจะได้
ผม : อยู่อย่างนี้สบายดีไหม
นก : ไม่สบายเลยสักนิด
ผม : ทำไมละฤทธิ์ก็มี จะกินอะไรก็ได้กิน จะไปไหนมาไหนก็สะดวก สบาย
นก : สบายอะไรยังกับติดคุก จะไปไหนมาไหนก็ไม่ได้ เกินระยะห่างรูปปั้นนี้
ผม : เอ้า ! คิดว่าชอบเสียอีก
นก : ชอบที่ไหนกัน
ผม : แล้วจะให้ช่วยอย่างไร
นก : ช่วยปล่อยให้ข้าเป็นอิสระที
ผม : เดี๋ยว ! ผมจะลองทำดูก็แล้วกัน
นก : ช่วยปล่อยให้ข้าเป็นอิสระทีเถอะ
ผม : ข้าพเจ้าขออำนาจพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ โปรดดลบันดาลให้เสียงของข้าพเจ้าดังไปถึงครู – อาจารย์ของผู้สร้างวัตถุนี้ “ข้าพเจ้าขออนุญาตท่านปลดปล่อยดวงวิญญาณที่ถูกกักขังในวัตถุนี้ เนื่องจากเขาทุกข์ร้อนจากการถูกกักขัง ขอท่านโปรดอนุญาตเทอญ”
ผมประกาศอยู่แบบนี้ 3 หน จึงได้กำวัตถุนั้นไว้ในมือต่อจากนั้น ผมอธิษฐานถามต่อ
ครู – อาจารย์ของผมว่าท่านอนุญาตหรือเปล่า ท่านกรุณาตอบว่า เขาอนุญาตแล้ว ต่อจากนั้น ผมอธิษฐานต่อว่า “ข้าพเจ้าขออำนาจพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ โปรดดลบันดาลให้อาคมที่ผูกมัดวิญญาณดวงนี้จงสลายไปด้วยเทอญ ” ผมอธิษฐานอยู่ 3 หนด้วยกัน แต่ละครั้งจะมีลำแสงสีขาวสว่างลงมาจากบนฟ้ามายังวัตถุในมือ ต่อจากนั้นผมกำหนดจิตอีกครั้ง เพื่อดูวิญญาณในวัตถุนั้นอีกครั้ง ผลปรากฏว่า วิญญาณดวงนั้นก็คงอยู่กับวัตถุนั้นเช่นเดิม เอ้า ! ทำไมเป็นแบบนี้ ผมนึกในใจ สงสัยมนต์ที่มัดวิญญาณคงยังไม่หมด ผมจึงอธิษฐานจิตอีกครั้ง โดยอธิษฐานเช่นเดิม แล้วกำหนดจิตเพื่อดูวิญญาณนั้นอีกครั้ง ก็ให้ผลปรากฏเช่นเดิม แต่ที่น่าแปลกกว่านั้นก็คือมนตราที่อยู่ในวัตถุนั้นได้สลายไปหมดแล้ว ทำให้ผมสงสัยเป็นอย่างยิ่ง เพราะผมไม่เคยพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อนเลย เอาแล้วสิ เกิดอะไรขึ้นหว่า ด้วยความสงสัยจนอดรนทนไม่ได้ จึงกำหนดจิตขออนุญาตถามผู้รู้ดีกว่า นึกดังนั้นได้กำหนดเพื่อหาคำตอบ ท่านก็ใจดีให้ความกรุณาตอบข้อสงสัยของผมว่า “ให้กลับไปถามวิญญาณดวงนั้นเอง” เอาสิครับผมเลย ง 2 ตัวเข้าไปใหญ่เลย เอาก็เอา ถามก็ถาม
ผม : ผมมลายมนต์หมดแล้วหรือยัง
นก : อาคมที่ผูกมัดตัวข้า มันสลายไปหมดแล้ว
ผม : แล้วท่านยังไม่ไปอีกหรือ
นก : ยังไปไม่ได้
ผม : ทำไมล่ะ
นก : ไม่รู้เหมือนกัน
ผม : ทั้งที่มนต์ก็สลายไปหมดแล้วนะ
นก : ใช่ อาคมมันก็หมดไปตั้งนานแล้ว
ผม : แปลกใจจัง
นก : ข้าจะพ้นได้ไหม ช่วยข้าด้วย
ผม : แล้วตอนเป็นมนุษย์ทำอาชีพอะไร
นก : ตอนเป็นมนุษย์ทำอาชีพ ทำไร่ทำนา หาของป่าขาย
ผม : นอกนั้นไม่ได้ทำกรรมอะไรเลยหรือ
นก : ไม่รู้เลย
ผม : เคยขังอะไรไว้นานๆไหม เพราะว่าน่าจะเป็นกรรมขังอะไรไว้ถึงได้ถูกขังไว้อย่างนี้
นก : ข้าชอบเลี้ยงนก ข้าเลี้ยงนกขุนทองไว้หลายตัว
ผม : แล้ววิธีการเลี้ยงล่ะ
นก : ข้าเลี้ยงนกขุนทองด้วยส้มสุก ลูกไม้ และข้าวขยำพริกแดงให้มันกินจนมันพูดได้ ข้าชอบดูมันเพลินดี
ผม : นั้นไงเล่า ! เคยขังนกมานั่นเอง ถึงได้รับกรรมนี่ไง เลยถูกขังขาดอิสระไปไหนมาไหนไม่ได้ แล้วเลี้ยงมันอยู่นานไหม
นก : ก็เลี้ยงมันไว้จนมันตายนั่นแหละ
ผม : กรรม แล้วเคยถามนกมันไหมว่า มันอยากอยู่แบบนี้ด้วยหรือเปล่า
นก : จะไปรู้มันรึ ! เพราะข้าคุยกับมันไม่รู้เรื่องนี่นา
ผม : ก็นกขุนทองมันพูดได้
นก : มันพูดแต่ว่า “พ่อจ๋าๆ” แล้วข้าจะรู้เรื่องอะไร
ผม : กรรม
นก : แล้วข้าจะเป็นแบบนี้อีกนานหรือเปล่า
ผม : ไม่รู้เหมือนกัน ถ้าอย่างนี้แสดงว่าต้องอยู่อย่างนี้จนหมดกรรมนั้นแหละ
นก : มีวิธีให้ข้าหลุดพ้นจากกรรมนี้เร็วๆไหม
ผม : ก็ภาวนา พุท – โธ เข้าไว้ ระลึกถึงกรรมแล้วสำนึกผิด ขอขมาต่อนายเวรเสีย ดูจิตที่มันเคลื่อนไปก็ได้
นก : จะลองทำดู เพราะที่นี่ก็นั่งสมาธิกัน มีคนสอนสมาธิ
ผม : งั้นก็อยู่ด้วยกันที่นี่ กรรมหมดแล้วก็ไป
นก : ข้าขออยู่ด้วยก็แล้วกัน
ผม : ตามสบาย
นก : ขอบใจที่ช่วยข้า
ผม : ไม่เป็นไร ผมขอพอแค่นี้ก่อน เดี๋ยวค่อยคุยกันใหม่
จากนั้นเป็นต้นมา นกก็ยังอยู่กับผม ปฏิบัติภาวนาเพื่อให้พ้นกรรมที่ตัวสร้างไว้เมื่อตอนที่ยังมีชีวิต เขาจะหมดกรรมเมื่อไรก็ยังหาคำตอบไม่ได้ เมื่อผิดแล้วรู้จักแก้ไขก็ยังสามารถกลับตัวกลับใจ ก็ยังน่าให้อภัย แต่หากผิดแล้วยังไม่ได้หาทางแก้ไข แต่กลับทำผิดซ้ำๆ ลงไปอีกแล้วเช่นนี้เขาจะหมดกรรมเมื่อใด
…………………………………………
อาจารย์ภณทัต แสนสัมฤทธ์
คนเคลียร์กรรม @nlz8809